ชื่ออื่น : มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ) หมักหุ่ง (ลาว,นครราชสีมา,เลย) ลอกอ (ภาคใต้) กล้วยลา (ยะลา) แตงต้น (สตูล) |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 3-6 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลออกขาว ลำต้นตรง ไม่มีแก่น แตกกิ่งก้านน้อย มีรอยแผลใบชัดเจน มียางขาวข้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรอบต้นหนาแน่นที่ปลายยอด ใบรูปฝ่ามือ ขนาด 80-120 ซม. ขอบใบเว้าเป็นแฉกลึกถึงแกนก้าน ก้านใบเป็นหลอด กลมกลวงยาว 25-100 ซม. ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อยาวห้อยลง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ดอกเพศเมียสีขาว ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ดอกมีขนาดใหญ่ กว่าดอกเพศผู้ ผล รูปกระสวย ผิวเรียบ เปลือกบาง มียางสีขาว ผลสดสีเขียวเข้ม พอสุกเปลี่ยนเป็นสีส้ม รับประทานได้ มีเมล็ดมาก เมล็ดกลม สีดำ มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีขาวใส ส่วนที่ใช้ : ผลสุก ผลดิบ ยางจากผลหรือจากก้านใบ ราก |
สรรพคุณ :
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ข้อควรระวัง : สำหรับผู้ที่รับประทานมะละกอสุกติดต่อกันเป็นจำนวนมาก เป็นเวลานาน อาจทำให้สารมีสีพวก carotenoid ไปสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้ผิวมีสีเหลือง สารเคมี :
|
วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
มะละกอ
สรรพคุณของกล้วยน้ำว้า
ชื่ออื่น : กล้วยมะลิอ่อง (จันทบุรี) กล้วยใต้ (เชียงใหม่, เชียงราย) กล้วยอ่อง (ชัยภูมิ) กล้วยตานีอ่อง (อุบลราชธานี) |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : หัวปลี เนื้อกล้วยน้ำว้าดิบ หรือห่าม กล้วยน้ำว้าสุกงอม ราก ต้น ใบ ยางจากใบไม้ล้มลุก สูงประมาณ 3.5 เมตร ลำต้นสั้นอยู่ใต้ดิน กาบเรียงเวียนซ้อนกันเป็นลำต้นเทียม สีเขียวอ่อน ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน กว้าง 25-40 ซม. ยาว 1-2 เมตร ปลายใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ด้านล่างมีนวลสีขาว เส้นใบขนานกันในแนวขวาง ก้านใบเป็นร่องแคบ ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดห้อยลง เรียกว่า หัวปลี มีใบประดับขนาดใหญ่หุ้มสีแดงเข้ม เมื่อบานจะม้วนงอขึ้น ด้านนอกมีนวล ด้านในเกลี้ยง ผล รูปรี ยาว 11-13 ซม. ผิวเรียบ ปลายเป็นจุก เนื้อในมีสีขาว พอสุกเปลือกผลเป็นสีเหลือง เนื้อมีรสหวาน รับประทานได้ หวีหนึ่งมี 10-16 ผล บางครั้งมีเมล็ด เมล็ดกลม สีดำ ส่วนที่ใช้ : |
สรรพคุณ :
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
สรรพคุณเด่น :
สารเคมีที่พบ :
ประโยชน์ทางยาของกล้วยหอม กล้วยหอมเป็นผลไม้ รสหวาน เย็น ไม่มีพิษ สารอาหารที่สำคัญๆ ในกล้วยหอม ได้แก่ แป้ง โปรตีน ไขมัน น้ำตาล วิตามินหลายชนิด จัดเป็นผลไม้บำรุงร่างกายดี นอกจากนี้กล้วยหอมยังสามารถใช้รักษาโรคได้หลายชนิด เช่น เป็นยาทำให้ปอดชุ่มชื่น แก้กระหาย ถอนพิษ นอกจากนี้ยังพบว่า มีฤทธิ์รักษาตามตำรับยา ดังนี้
|
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
สรรพคุณสมุนไพร กล้วย
ส่วนที่ใช้ยางกล้วยจากใบ ผลดิบ ผลสุก(ทุกประเภท) ผลดิบ หัวปลี
สรรพคุณ
ยางกล้วยจากใบ ใช้ห้ามเลือด โดยใช้ยางกล้วยจากใบหยอดลงที่บาดแผล ผลดิบ แก้โรคท้องเสีย ยาฝาดสมาน แผลในกระเพาะอาหารและอาหารไม่ย่อย โดยใช้กล้วยดิบทั้งลูก บดกับน้ำให้ละเอียดและใส่น้ำตาล รับประทาน(หรือไม่อาจใช้กล้วยดิบตากแห้งบดเป็นผงเก็บไว้ใช้ในยามที่จำเป็น อาจใช้ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำอุ่นกิน) ผลสุก ใช้เป็นอาหาร เป็นยาระบายสำหรับผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือผู้ที่อุจจาระแข็ง วิธีใช้โดยใช้กล้วยสุก 2 ผล ปิ้งกินทั้งเปลือก หัวปลี แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้โรคโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเลือด
สรรพคุณ
ยางกล้วยจากใบ ใช้ห้ามเลือด โดยใช้ยางกล้วยจากใบหยอดลงที่บาดแผล ผลดิบ แก้โรคท้องเสีย ยาฝาดสมาน แผลในกระเพาะอาหารและอาหารไม่ย่อย โดยใช้กล้วยดิบทั้งลูก บดกับน้ำให้ละเอียดและใส่น้ำตาล รับประทาน(หรือไม่อาจใช้กล้วยดิบตากแห้งบดเป็นผงเก็บไว้ใช้ในยามที่จำเป็น อาจใช้ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำอุ่นกิน) ผลสุก ใช้เป็นอาหาร เป็นยาระบายสำหรับผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือผู้ที่อุจจาระแข็ง วิธีใช้โดยใช้กล้วยสุก 2 ผล ปิ้งกินทั้งเปลือก หัวปลี แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้โรคโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเลือด
วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันอาสาฬหบูชา
วันเข้าพรรษา | |
วันเข้าพรรษา คือ เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนมีกำหนด 3 เดือนตามพระวินัยบัญญัติ โดยไม่ไปค้างแรมในที่อื่น เรียกกันโดยทั่วไปว่า "จำพรรษา" |
วันเข้าพรรษา เป็นวันที่พระสงฆ์เริ่มอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 จนถึงกลางเดือน 11 วันเข้าพรรษาที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้มีอยู่ 2 วันคือ
- วันเข้าปุริมพรรษา คือเข้าพรรษาแรก ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไปจนถึงวันเพ็ญกลางเดือน 11
- วันเข้าปัจฉิมพรรษา คือวันเข้าพรรษาหลัง ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 9 ไปจนถึงวันเพ็ญเดือน 12
เมื่อเข้าพรรษาแล้วหากภิกษุมีกิจธุระจำเป็น อันชอบด้วยพระวินัย พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้ไปได้ โดยมีข้อจำกัดว่าจะต้องกลับมายังสถานที่จำพรรษาเดิมภายใน 7 วัน ที่เรียกว่า สัตตาหกรณียะ ดังต่อไปนี้
- เมื่อทายกทายิกา ปราถนาจะบำเพ็ญกุศล เมื่อมานิมนต์ก็ให้ไปเพื่อรักษาศรัทธาได้
- ถ้าสงฆ์ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งเกิดอธิกรณ์ขึ้น ก็ให้ไปเพื่อระงับอธิกรณ์ได้
- ถ้าบิดา มารดา ญาติ พี่น้อง พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ เป็นไข้ เมื่อทราบก็ให้ไปได้
- พระวิหารในที่แห่งอื่นเกิดชำรุดเสียหาย ให้ไปหาสิ่งของเพื่อมาปฏิสังขรพระวิหารนั้นได้
- เมื่อถูกสัตว์ร้ายรบกวน ถูกโจรปล้น พระวิหารถูกไฟไหม้ หรือถูกน้ำท่วม ก็ให้ไปจากที่นั้นได้
- เมื่อชาวบ้านถูกโจรปล้น อพยพหนีไป ก็ให้ไปกับพวกชาวบ้านได้โดยให้ไปกับชาวบ้านที่มีความเลื่อมใสศรัทธาสามารถที่จะให้ความอุปถัมภ์ได้
- เมื่อที่ใดเกิดความขาดแคลน อาหารหรือยารักษาโรค ขาดผู้อุปถัมภ์บำรุง ได้รับความลำบากก็อนุญาตให้ไปจากที่นั้นได้
- ถ้าหากมีผู้เอาทรัพย์มาล่อ ก็อนุญาตให้ไปจากที่นั้นได้
- หากภิกษุสงฆ์หรือภิกษุณีสงฆ์แตกกันหรือมีผู้พยายามจะให้แตกกัน ถ้าการไปจากที่นั้นสามารถระงับการแตกกันได้ ก็อนุญาตให้ไปได้
ในวันเข้าพรรษา ถือว่าเป็นกรณียกิจพิเศษสำหรับพระภิกษุสงฆ์ จะมีการประชุมกันในพระอุโบสถ ไหว้พระสวดมนต์ ขอขมาซึ่งกันและกัน เสร็จแล้วก็ประกอบพิธีเข้าพรรษา ภิกษุจะอธิษฐานใจตนเองว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ตนเองจะไม่ไปไหน ด้วยการเปล่งวาจาว่า
อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ
หรือว่า อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ
แปลว่า ข้าพเจ้าขออยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือน ในอาวาสนี้ หรือในวิหารนี้ (ว่า 3 ครั้ง)
หลังจากเสร็จพิธีเข้าพรรษาแล้วก็นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปนมัสการปูชนียวัตถุที่สำคัญในอาวาสนั้น ในวันต่อมาก็นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และพระเถระที่ตนเคารพนับถือ
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ไพลดำ
ชื่อสามัญ ว่านไพรดำ / ไพลสีม่วง / ตากเงาะ (ไทยปัตตานี) จะเงาะ (มาลายูปัตตานี)
ลักษณะ ลำต้น ขึ้นเป็นกอสูง 1.5- 2 เมตร
ใบ ยาว20-30 ซ.ม. กว้าง 5-6 ซ.ม. ปลายใบเรียวแหลมใบเรียบเกลี้ยงไม่มีขน เนื้อในหัวมีสีม่วงจางๆ
ช่อดอก ออกตรงจากหัว ก้านช่อดอกยาว 30 ซ.ม. ช่อดอกเป็นรูปไข่ยาวแดงใหญ่สดุดตา กาบหุ้มดอกเป็นรูปไข่มนๆแข็งหนามีสีแดง ดอกย่อยสีเหลืองนวลๆ กระเปาะดอกสีเหลืองมีประและขีดสีม่วง รูป 3 แฉกมนๆ ยาวราว 15 ม.ม. แฉกกลางเว้าปลายเล็กน้อย มีช่อดอกเดียวต่อก้าน
เป็นว่านที่หายากชนิดหนึ่ง เนื่องจากเลี้ยงยาก อาจเป็นเพราะไม่เข้าใจเลี่ยงให้เหมือนธรรมชาติ
วิธีพิสูจน์ว่าเป็นว่านไพลดำแท้หรือไม่ ให้ใช้หัวว่านนี้ขีดบนฝาหม้อดิน แล้วนำไปปิดหม้อข้าว เมื่อหุงข้าวด้วยหม้อนั้น จะปรากฏว่า ข้าวจะดำหมดทั้งหม้อ ถ้าเป็นเช่นนี้จึงจะเป็นว่านไพลดำที่แท้จริง
ประโยชน์ทางยา
ว่านไพลดำใช้แก้กระเพาะอาหารเป็นพิษ ลำไส้เป็นแผล แก้ช้ำแก้บวมทั้งตัว เป็นยาบำรุงกำลัง และเป็นยาอายุวัฒนะ เป็นว่านที่แก้อาการบอบช้ำได้ดีมาก
ความน่าเชื่อถือ
วิธีปลูก
ใช้ดินดำเป็นดินปลูก ถ้าเอาดินสีอื่นมาปลูกว่านนี้จะตายภายใน 3 วัน เพราะว่านนี้เจริญงอกงามได้ดีในดินสีดำเท่านั้น รดน้ำเล็กน้อยพอชุ่ม
ลักษณะ ลำต้น ขึ้นเป็นกอสูง 1.5- 2 เมตร
ใบ ยาว20-30 ซ.ม. กว้าง 5-6 ซ.ม. ปลายใบเรียวแหลมใบเรียบเกลี้ยงไม่มีขน เนื้อในหัวมีสีม่วงจางๆ
ช่อดอก ออกตรงจากหัว ก้านช่อดอกยาว 30 ซ.ม. ช่อดอกเป็นรูปไข่ยาวแดงใหญ่สดุดตา กาบหุ้มดอกเป็นรูปไข่มนๆแข็งหนามีสีแดง ดอกย่อยสีเหลืองนวลๆ กระเปาะดอกสีเหลืองมีประและขีดสีม่วง รูป 3 แฉกมนๆ ยาวราว 15 ม.ม. แฉกกลางเว้าปลายเล็กน้อย มีช่อดอกเดียวต่อก้าน
เป็นว่านที่หายากชนิดหนึ่ง เนื่องจากเลี้ยงยาก อาจเป็นเพราะไม่เข้าใจเลี่ยงให้เหมือนธรรมชาติ
วิธีพิสูจน์ว่าเป็นว่านไพลดำแท้หรือไม่ ให้ใช้หัวว่านนี้ขีดบนฝาหม้อดิน แล้วนำไปปิดหม้อข้าว เมื่อหุงข้าวด้วยหม้อนั้น จะปรากฏว่า ข้าวจะดำหมดทั้งหม้อ ถ้าเป็นเช่นนี้จึงจะเป็นว่านไพลดำที่แท้จริง
ประโยชน์ทางยา
ว่านไพลดำใช้แก้กระเพาะอาหารเป็นพิษ ลำไส้เป็นแผล แก้ช้ำแก้บวมทั้งตัว เป็นยาบำรุงกำลัง และเป็นยาอายุวัฒนะ เป็นว่านที่แก้อาการบอบช้ำได้ดีมาก
ความน่าเชื่อถือ
วิธีปลูก
ใช้ดินดำเป็นดินปลูก ถ้าเอาดินสีอื่นมาปลูกว่านนี้จะตายภายใน 3 วัน เพราะว่านนี้เจริญงอกงามได้ดีในดินสีดำเท่านั้น รดน้ำเล็กน้อยพอชุ่ม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)